วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554

คลังบทความ 3 เรื่อง

                             กรณีศึกษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับระบบสารสนเทศ

องค์การที่ 9 เป็นธนาคารพาณิชย์ เพราะเป็นระบบที่เหมาะสมกับงานในระบบสารสนเทศ ทัง 7 ประการ
  1.  เทคโนโลยีสารสนเทศจะทำให้เกิดการรวมหรือการกระจายอำนาจในองค์การ
  2. เทคโนโลยี สารสนเทศจะทำให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถเข้าถึงสารสนเทศหรือเทคโนโลยีสารสนเทศทำ ให้ระดับบริหารสามารถควบคุมการไหลของสารสนเทศได้มากขึ้น
  3. เทคโนโลยีสารสนเทศจะเพิ่มหรือลดบทบาทของผู้บริหารระดับกลางในการสรุปและกลั่นกรองสารสนเทศขึ้นลงในระดับบังคับบัญชา
  4. เทคโนโลยีสารสนเทศจะเพิ่มหรือลดโอกาสที่พนักงานจะได้มีส่วนร่วม
  5. เทคโนโลยีสารสนเทศจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์การหรือให้โครงสร้างองค์การที่เป็นอยู่คงเดิมต่อไป
  6. เทคโนโลยีสารสนเทศจะจำกัดหรือเพิ่มความพอใจในงาน
  7. เทคโนโลยีสารสนเทศใช้เงินทุนหรือทำให้เงินทุนถูกใช้ให้เป็นประโยชน์
ฉะนั้น องค์การที่ 9 เป็นธนาคารพานิชย์ที่ไม่มีการเปลี่ยนในระดับทางผู้บริหาร แต่ให้ผู้บริหารสามารถรับผิดชอบและควบคุมการงาน ได้เพิ่มขึ้นเพราะในองค์การดังกล่าวนี้ เหมาะสมในระบบสารสนเทศที่มีการแบ่งปันและให้ทิศทางแก่พนักงานทั่วไป สามารถขึ้นไปเป็นในระดับผู้บริหารงานได้ เพราะไม่มีแต่ผู้บริหารงานเท่านั้น ที่สามารถดูแลงานและปฏิบัติงานของตนได้อย่างทั่วถึง และรับประกันงานได้อย่างเหมาะสม จึงเป็นเหตุผลที่ให้พนักงานทั่วไปหรือผู้บริหารงานสามารถนำงานตัวเองมาเป็นจุดเด่นและเผยแพร่ได้ ซึ่งจะกลายเป็นผลบวกและลบในการทำงานของพนักงาน ว่าทำงานได้ดีหรือไม่ดี มากน้อยเพียงใด นี่จึงกลายสารสนเทศ ที่มีการกระจายงานและอำนาจในการบริหารงานได้อย่างทั่วถึง

โครงการด้านระบบสารสนเทศที่อาจจะสนองพระราชดำริในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ

 การพัฒนาหรือปรับปรุงระบบสารสนเทศเป็นอย่างแบบใดอย่างไรบ้าง  ในขอบเขดการศืกษา

ข้าพเจ้าเคยเปิดพบ Websites ของ ห้องสมุดประชาชนในต่างประเทศที่เป็นเวทีให้เด็กทำแบบนี้ ให้เด็กคนหนึ่งเขียนความคิดเห็นของตนลงไป เพื่อเล่าให้เด็กอื่นๆที่เปิดดูทราบว่า เขามีความคิดต่อหนังสือเล่มนี้อย่างไร ในลักษณะการอ่านเป็นรากฐานสำคัญของการใช้สื่ออื่นๆ ต่อไป
“ความรู้ทาง internet ได้ด้วย ครูจึงน่าจะไปตรวจดูก่อนว่า เรื่องที่จะกำหนดในแผนให้พูดในชั้นเรียนนั้นจะมี websites อะไรบ้างที่จะส่งเสริมการสนทนาในชั่วโมงนั้นต้องตั้งข้อสังเกตได้ว่า websites นั้นเป็นอย่างไร เพราะในเรื่องเดียวกันจะมีหลาย websites จะมีข้อเด่นข้อด้อยต่างกันออกไป

ดั่งที่กล่าวมาแล้วนั้นในระบบสารสนเทศ มีหลายระดับ มีหลายประเภทของเว็ปไซต์ ที่มีเนื้อหาและจุดแตกต่างกันออกไป แต่ละหน้าที่ซึ่งระบุไว้ว่า เว็ปไซต์แต่ละเว็ปไซต์ เหมาะสมสำหรับการเรียนรู้ การทำงาน การเผยแพร่ข้อมูลในระดับใดบ้าง           
                ในส่วนนี้ผมคิดว่า ในระบบสารสนเทศ หากจะต้องมีการจ่ายแยก ว่าเว็ปไซต์ใดที่นักเรียนนักศึกษา ข้าราชการและบุคคลทั่วไปเข้าถึงได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้ประโยชน์อย่างแท้จริง ส่วนทางในตัวมหาวิทยาลัย โรงเรียน สำนักงานทั่วไป ก็ควรมีการกำหนดว่า เว็ปไซต์ใดบ้างที่จะเข้าทั่วถึง และสามารถเปิดดูได้ในองค์การนั้นๆ
                เด็กนักเรียนประถม มัธยม ทั่วไป ควรจะมีการกำหนดว่าในตัวโรงเรียนเอง ควรจะนำเอาเว็ปไซต์ใดบ้างที่จะมาเ ผยแพร่ให้กับเด็กนักเรียน ได้เรียนรู้และศึกษา เพราะในเว็ปไซต์ทั่วไป  มันอาจจะมีข้อมูล คำพูด หรือรูปภาพที่ไม่เหมาะสม เพราะ เว็ปไซต์เหล่านั้นอาจจะสร้างจินตาการมากเกินไปให้กับเด็กนักเรียน เพราะเวลาที่นักเรียนเหล่านั้นเห็นสื่อที่ไม่เหมาะสมดังกล่าว จะเกิดจินตนาการที่สูงเกินไป และนำปฏิบัติในสิ่งที่ไม่เหมาะสมเกินวัยอันควร จนเกิดปัญหาแก่สังคมและตัวเด็กนักเรียนเอง พร้อมกันนั้นทางด้านสื่อการศึกษา ก็จะเกิดความคิดอยากเรียนรู้และฝึกฝนตัวเองมากเกินไปจนเกิดปัญหาไม่อยากไปโรงเรียน เพราะทางโรงเรียนมีหลักสูตรการฝึกสอนที่ตัวเองรู้แล้วและไม่อยากไปเรียน
                ส่วนวัยรุ่น หรือผู้ที่มีอายุเกิน 18 ปีขึ้นไป ถึงแม้ว่าจะเข้าได้ถึงระบบสารสนเทศได้ทุกรูปแบบก็ตามแต่ควรมีการกำหนดว่าเว็ปไซต์ใดบ้างที่ข้าราชการหรือบุคคลทั่วไปเข้าได้อย่างทั่วถึง เช่นบางครั้งเว็ปไซต์พวกแอนนิเมชั่น, download, upload หรือเว็ปไซต์พวก social ต่างๆ มันอาจจะเกิดปัญหาให้แก่การทำงานของข้าราชการหรือเด็กมหาวัทยาลัยทั่วไปได้

โครงการที่ตอบสนองนโยบายรัฐบาล ด้านระบบสารสนเทศ


                E-Service ควรจะเป็น ระบบสารสนเทศที่ให้ความเข้าใจในแต่ละปัญหาและสามารถเผยแพร่ให้บุคคลทั่วไป หรือพนักงานที่ทำหน้าที่นั้นๆ ได้รับทราบและเข้าถึงข้อมูล ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เสมือนกับเป็นคู่มือในการทำงาน และประสานงานกับระบบต่างๆ ใน ระบบ E-Service
                Web Service ควรจะเป็นเว็ปที่ให้ความเข้าใจและสามารถทำความเข้าใจและปฏิบัติได้จริง เช่น ในระบบ GIS ก็ควรมีการสามารถค้นหา ระบุข้อมูล หรือ สถานที่ที่ท่านต้องการได้อย่างแท้จริง
                Front and Back Office คือ ควรมีการจัดตั้งระบบ พนักงาน เข้ามาดูแลและประสานงาน ในระบบ e-service และ web service พร้อมทั้งมีการปรับปรุงในแต่ละระยะเวลาที่มีการอัพเดทข้อมูล หรือข่าวสารต่างๆ ในตัวของ web service ดังนั้น Front and Back Office จึงเหมือนกับสำนังาน หรือองค์การที่รับผิดชอบเกี่ยวกับงานนั้น












วิจารณ์ระบบศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม

ระบบดั่งก่าวเป็นระบบที่สร้างขื้น เพื่อให้ความรู้ทางด้านวัฒนธรรมแก่บุกคน ได้เข้ามาเพื่อช็อกแสวงหาข้อมูลในด้านต่างๆเกียวกับประเพนิ วัฒนธรรม ความรู้พื้นบ้าน และ สี่งที่น่าสนใจต่างๆทางวัฒนธรรม
ฉะนั้น ในการลงทะเบียนเบี้องต้น ก่อนจะก้าวเข้าไปสู่การใช้งานในระบบของ web-site ดั่งก้าวมานั้น ควรมาการกำนด ตั่งแต่ขั้นแรกคือ

+ การละบุบของหม่วยงานก็ต้องได้ละบุบวย่างชัดเจน เพราะเราสามาดรับรู้ และวิจัยได้บางว่ามีห่มวยงานใด เข้ามาใช้งานและนำไปวิจัยบลาง เพื่อจะได้นำเอาสี่งเหล่านั้นไปทำการปับปรุง ของ web-site ดั่งได้ก้าวได้ดี ยี่งขื้น เชั่น ข้าราชการ บุคคนทั่วไป นักศืกษา นักเรียน เป็นต้น

+ ประการหมื่งควรมีการกำหนดอายุไว้รุ้มเข้ามาให้ความสนใจมารกน้อยเพียงใด ในwebsite ดั่งก่าว
+ พ้รอมกันนั้น ควรมีอีกวย่างหมื่งคือ ท่านต้องการรับข่าวสานจากทาง website นี้หรีอไม่ หากต้องการก็ต้องมีการเลือกด้วยว่าต้องการประเภทใดบ้าง

     1. ข้อมูลทั่วไป คือมีอะไรมาใหม่บาง สี่งใดที่น่าสนใจ
     2. เลื่องวัฒนธรรมของแต่ละภาก ของไทยเราเขั่น ภาคกลาง ภาคใต้ ภาคอีสาน ภาคเหนือ
     3.รูบภาพทางวัฒนธรรมที่ update ขื้นมาใหม่
+ ส่วนในตัวของ website เองก็ควรมีหัวข้อของใน website เพี่มขื้นมา อีกเชั่น
    - กะทู้เรื่องที่น่าประทับใจ คือเรื่องที่น่าติดตามชม และเนื้อหา ที่น่าสนใดบาง
    -กะทู้ที่สามารคนำมาวิใจ และวิเคราะไปใช้งานทางวัฒนธรรมได้ คือ บทความนี้เป็นบทเรื้องที่สามารคนำมาวิจัย
      และมีเหตุผล เพื่อที่จะให้ง่ายในการค้นหางานต่างๆได้ โดยไม่ต้องไป search ในระบบให้ยุ่งยาก มากเกินไป
     -กะทู้วัฒนธรรมในสมัยเก่า
+ควรมีบรรณาธิการข่าว เพื่อช่วยแก้ไข และอนุยาดว่า ข่าว หรือ เนื้อหาใดบางไม่เหมาะ พร้อมกับแจ้งไปยัง สำมาชิกที่ต้องการ post ว่าข่าวสานของท่าน post ใน webdite นี้ไม่ได้เพราะ เนื้อหาไม่เหมาะสม
+ ควรกำนดสิดของสมาชิกควร post ข่าว หรีอ เนื้อหาได้มากน้อยเพียงใด เพราะ บางบทความควรไม่ยาวมากเกีนไป

สรูปลวมแล้วสี่งใดก็ดี ในทางด้านวัฒนธรรม แต่ควรคำนืกถีงข้อเท็จจริง เกียวกับวัฒธรรมนั้น เพื่อไม่ให้วัฒธรรมแต่ คาวดั่งเดีมต้องสูญหายไป วย่างที่ไม่มีรู้ต้นปลาย สาเหตุได้ เราทุกคนควรพร้วมใจกันรักษาไว้ให้ถีงลูกหลาน ในรุ่นต่อๆไป